ธรรมชาติ

ธรรมชาติ

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความหมายของวิปัสสนา

วิปัสสนาภาวนา
วิ ( วิเศษ , แจ้ง ฯ. ) + ปสฺสนา ( เห็น ) + ภาวนา  ( การอบรม , การเจริญ )
การอบรมเพื่อความเห็นแจ้ง  ,  การเจริญปัญญาเพื่อเห็นอย่างวิเศษ       หมายถึง
การเจริญปัญญาเพื่อเห็นแจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงตามลำดับขั้น     จากขั้นต้น
คือ การอบรมสติปัฏฐาน  เป็นการเจริญวิปัสสนาเพื่อเห็นแจ้งลักษณะของนามธรรมและ
รูปธรรม    จนสติปัฏฐานถึงความสมบูรณ์   วิปัสสนาญานซึ่งเป็นปัญญาที่เกิดขึ้นพร้อม
กับมหากุศลจิตญาณสัมปยุตต์    จึงเกิดขึ้นเห็นสภาพธรรมอย่างวิเศษ  คือประจักษ์แจ้ง
ไตรลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม     วิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้นเป็นไปตามลำดับขั้น
ของปัญญาที่เจริญยิ่งขึ้น      ตั้งแต่วิปัสสนาญาณที่ ๑ ( นามรูปปริจเฉทญาณ )  จนถึง
วิปัสสนาญาณที่  ๑๒ ( อนุโลมญาณ )  จะมีสังขารคือนามธรรมและรูปธรรมเป็นอารมณ์
วิปัสสนาญาณที่ ๑๓  ( โคตรภูญาณ )   วิปัสสนาญาณที่  ๑๔ ( มรรคญาณ ) วิปัสสนา
ญาณที่  ๑๕  ( ผลญาณ )  มีวิสังขารคือพระนิพพานเป็นอารมณ์  วิปัสสนาญาณที่  ๑๖
( ปัจจเวกขณญาณ ) มีมรรคจิต ผลจิต พระนิพพาน กิเลสที่ละแล้ว    และกิเลสที่เหลือ
อยู่ เป็นอารมณ์

ที่มา  http://www.dhammahome.com/webboard/topic/9336

พุทธทำนาย


 มีสิ่ง ๆ หนึ่งที่ทุกชีวิตรอคอย    เรียกร้องต้องการแต่สิ่งนี้ไม่เคยมีใครหรือสังคมใดประสบเลย  สิ่งนั้นก็คือ “สันติสุข” และ “สันติภาพ” นั่นเอง
 “สันติสุข”  คือ ความสุขส่วนบุคคล  (เอกพจน์)
 “สันติภาพ”  คือ ความสุขของคนทุกคน (พหูพจน์)
 ทุกคนต้องการ “สันติสุข”  แต่ทุกคนกำลังสร้างวิกฤตการณ์เต็มบ้านเต็มเมือง  โดยต้องการกินดี-อยู่ดี  ยิ่งจัดยิ่งหาให้มีมากเท่าไร ก็เท่ากับเร่งทำลาย “ศีลธรรม” หรือ “สันติภาพเท่านั้น  เพราะชีวิตที่มีคุณภาพ คือ ชีวิตที่มีคุณธรรม การกินเกิน อยู่เกินทำให้ชีวิตหมดคุณค่า
 จากการอ่านหนังสือพระไตรปิฎก ชาดก คาถา เล่มที่ 2  หน้าที่  146-163 เรื่อง “พุทธทำนาย”  และได้ฟังเทปของผู้เฒ่าซึ่งได้ล่วงลับไปแล้ว  โดยที่ท่านไม่รู้หนังสือเลย เรื่อง “ทำนายปัตถเวน” มาประมวลเขียนเป็นหนังสือเล่มที่ท่านถืออยู่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ  ท่านเมตตาให้การอบรม และบรรยายให้ฟังหลายครั้ง   โดยที่ไม่ได้ว่าเอาเอง แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเอาไว้ว่า  ถ้าโลกนี้มี “ศีลธรรม” โลกจะไม่เป็นอย่างนี้  แต่ถ้าไม่มี “ศีลธรรม” เมื่อใด  ก็จะเป็นอย่าง “พุทธทำนาย”  แน่นอน
 การกินอยู่แต่พอดีเป็นการมี “ศีลธรรม” การกินเกิน - อยู่เกินยิ่งทำลาย “ศีลธรรม” เหมือนเราจะเอาภาพขวานไปตัดฟืน,   มีรายการอาหารเต็มไปหมดก็ไม่อาจทำให้ท้องอิ่มได้  หรือบ้านที่มีแต่แปลน จะอยู่อาศัยได้อย่างไร ?
 บัดนี้ “ศีลธรรม” หรือ “ธรรมะ” จะมีหรือไม่,   ท่านต้องการ “ธรรมะ” หรือ “ศีลธรรม” หรือไม่   รายละเอียดในเล่มนี้เป็นสิ่งที่จะช่วยท่านได้
  คนเรียนธรรมะ    แต่ไม่รู้ธรรมะ      ก็มี
  คนรู้ธรรมะ แต่ไม่มีธรรม ะ     ก็มี
  คนมีธรรมะ        แต่ก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้  ก็มี
  ……เราจัดอยู่ในพวกไหน ?
 หวังว่าจะทำให้ท่าน “แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้โดยใช้ธรรมะที่แก้ปัญหาได้”   ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องทุกขั้นตอนทั้งโดยส่วนตัว  และส่วนรวม “สันติสุข” และ “สันติภาพ” ก็เป็นสิ่งที่เราจะหวังให้เกิดขึ้นได้
 เพราะความเจริญสมัยใหม่ แย่งปากไปพูด  แย่งปากกาแย่งหน้ากระดาษไปเขียนเรื่องอื่น ๆ เสียหมด โดยเฉพาะเรื่องกามารมณ์ การเมือง แต่เรื่องศีลธรรมที่เราต้องการให้มีในใจคนกลับไม่มีใครพูดถึงเขียนถัง
 ตามคัมภีร์โบราณบรรยายไว้ว่า โลกเรานี้บางยุคก็เจริญ  บางยุคก็เกิดมิคสัญญี  บางยุคก็เป็นพระศรีอาริย์  แต่โลกในขณะนี้กำลังเป็นมิคสัญญี   เพราะศีลธรรมกำลังเสื่อมลง ๆ  จนแทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้วหรือจะมีก็เหลือน้อยเต็มที แต่หลาย ๆ คนก็ไม่เชื่อ เพราะเคยได้ยินแต่คำว่า “ โลกกำลังเจริญก้าวหน้า” เรียกกันอย่างไพเราะว่า “อารยธรรมเจริญ” แต่ความเป็นจริงภายใต้ชื่อที่ไพเราะนี้กำลังฆ่าคน จนน่าจะเรียกว่า “อารยธรรมฆ่าคน” มากกว่า
 โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางยุ่งยากจนราวกับว่าเราต้องอยู่รวมกับคนบ้า คือ คนที่พูดกันไม่รู้เรื่อง    ดังนั้นอย่าว่าแต่ปัญหาคอมมิวนิสต์ ปัญหาแบ่งแยกดินแดนเลย แม้แต่ปัญหาครอบครัว  ปัญหาในโรงเรียน ในโรงงาน ซึ่งเป็นปัญหาของคนกลุ่มน้อยและซับซ้อนกว่าก็ยังแก้ไม่ได้    พ่อแม่กับลูก  ครูกับศิษย์   นายจ้างกับลูกจ้าง  ต่างพูดกันไม่รู้เรื่อง  โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปตรงกับพุทธพจน์  ที่ว่า “ยถา ปจฺจยปวตฺตมานา ฯลฯ”  เปลี่ยนแปลงตามเหตุตามปัจจัยเรียกว่า “สังขาร”   เหตุเลว -เลว,  เหตุดี - ดี    ลองสังเกตดูให้ดี ๆ จะเห็นโลกกำลังก้าวหน้าไปสู่ไร้ศีลธรรมในนามของความเจริญซึ่งมันน่าหัวเราะ   น่าหัวเราะจนไม่รู้ว่าจะเอาปากที่ไหนมาหัวเราะ
 ปัจจุบันเราพูดกันว่า “เราเจริญ ๆ การศึกษาเจริญ  การอนามัยเจริญ เศรษฐกิจเจริญ  การเมืองเจริญ”  แต่มันเจริญไปสู่ความวินาศ เพราะยิ่งเจริญยิ่งไร้ศีลธรรม  ถ้าคนไร้ศีลธรรมคนกลายเป็นผี   ถ้าศีลธรรมมี ผีกลายเป็นคน  
 ประเทศเรากำลังจมอยู่สู่หายนะ โดยเฉพาะทางจิตวิญญาน เด็กๆกำลังเฟ้อ “ประชาธิปไตย”
จนลืม “ศีลธรรม” มีอาการที่เรียกว่า “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว”  เดี๋ยวนี้เรากำลังเห็นกงจักรเป็นดอกบัว  จึงพูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าจะเอา “เศรษฐกิจ” หรือเอา “ศีลธรรม”, จะเอา “ เงิน”  หรือ “สวรรค์”   จะเอา  “เกียรติ” หรือเอา “นิพพาน” จะเอา “ระบบซี” หรือ  “ระบบขั้น”  ไม่เข้าใจเรื่องนรกสวรรค์เรื่องดีชั่ว
 คนส่วนใหญ่พูดกันแต่ว่า  เราต้องต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอด  ซึ่งความจริงมันรอดกันแล้วทุกคน  เพียงแต่มันยุ่ง  มันเดือดร้อน  ส่วนการทำอย่างไรถึงจะไม่เป็นทุกข์นั้น เราไม่คิดกัน  ผลที่เกิดในเวลานี้ คือ มนุษย์กำลังก้าวไปสู่ความวินาศ ในนามอันไพเราะว่า  “ ความเจริญ”
 มูลเหตุที่มี  2 จำพวกคือ    ปัจจัยโดยตรงและ ปัจจัยโดยอ้อม
 ปัจจัยโดยตรง
 การศึกษาผิดๆ  เดี๋ยวนี้การศึกษาใด ถ้าทำให้เกิดสันติสุข สันติภาพก็ถูก  ต้องให้มีประโยชน์ทั้งตัวเขาและสังคม   แต่ปัจจุบันเขาสอนให้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว สอนให้อ่านออกเขียนได้ เพื่อประกอบอาชีพ ไม่ได้สอนให้เกิดความสันติสุขโดยส่วนตัว  สันติภาพโดยส่วนรวม  ตามภาษาบาลีว่า เป็นทาสของอายตนะยิ่งขึ้น  ชาวบ้านเรียกว่าเป็นทาสอารมณ์เพราะในการศึกษาไม่มีเรื่องพระธรรมเลย   สอนแต่เพื่อเป็นอาชีพ  เพื่อเป็นอายตนะ  สอนเพื่อให้เกลียดศาสนายิ่งขึ้น
 วัฒนธรรมเปลี่ยนไปในทางที่เป็นอันตราย  เปลี่ยนจากวัฒนธรรมเย็นเป็นวัฒนธรรมร้อน    เพลงไทยทีมีท่วงทำนองเย็น ๆ ฟังแล้วเกิดความเย็นไม่เอา  ต้องไปรำไปร้องอย่างร้อน ๆ เหมือนลิงเมาเหล้า หรือไส้เดือนถูกขี้เถ้า    โดยเฉพาะวัฒนธรรมประจำบ้านเรือนที่เรียกว่า “วัฒนธรรมโดยสายเลือด”  คนแก่คนเฒ่าผู้สูงอายุ 60-70 ปีขึ้นไป  จะเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้มากน้อยอย่างไร  โดยเฉพาะกิริยามารยาท   ความเชื่อถือ ทั้งที่เคยเย็น เคยหวังความสงบก็เปลี่ยนไปสู่ความร้อนก็เท่ากับเห็นกงจักรเป็นดอกบัว   การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม โดยสายเลือดในลักษณะนี้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย   ขอฝากไว้ด้วย
 อารยธรรมทางวัตถุกำลังชนะ   เนื้อหนังกำลังชนะจิตใจ การใช้คำว่า  “อารยธรรม” นั้นน่าเศร้าที่สุด เพราะมันโกหกที่สุด “อารยะ”  แปลว่า ประเสริฐ  อย่างของพระอริยเจ้า  แต่เอามาใช้กับอารยธรรมที่ทำลายมนุษย์  อารยธรรมฆ่าคน  อารยธรรมสมัยใหม่ที่ยั่วกิเลสคน  ทั้งทางหู ตา จมูก ปาก สัมผัส อารยธรรมทางเนื้อหนังกำลังอาละวาด  มีกำลังกล้าแข็ง  ส่วนอารยธรรมทางจิตกำลังแพ้  ถดถอย เป็นจังหวะที่อารยธรรมทางวัตถุ กำลังอาละวาด  เหมือนโรคร้ายกำลังระบาด  ผูกใจคนได้มาก  เพราะคนชอบซื้อหามาไว้  ใช้สอยอย่างโง่เขลา     ชอบใช้สอยในสิ่งที่ไม่จำเป็น  แต่มันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเหมือนกับที่ให้คนสูญเสีย สติสมปฤดีโดยเฉพาะของใหม่ ๆ    เราแก้ได้โดยไม่ใช้
ของที่ไม่จำเป็น  บางทีเข้าร้านใหญ่ ๆ จะซื้อของแต่ซื้อไม่ได้เลย   เพราะไม่จำเป็นสำหรับเรา  มันมีไว้สำหรับคนบ้า   ในซุปเปอร์มาร์เกต อุบาสก อุบาสิกาอดซื้อไม่ได้  โดยเฉพาะสิ่งที่ประดิษฐ์
ใหม่ ๆ    คนกำลังหลง  นี่เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้คนไร้ศีลธรรม
 สรุปทบทวนอีกครั้ง
1.  การศึกษาผิด      การศึกษาเพื่อความรู้  เพื่อประกอบอาชีพ  ประกอบอาชีพเพื่อเป็นทาส
อายตนะ  เพื่ออบายมุข เพื่อเกลียดศาสนา
2.  วัฒนธรรมเปลี่ยนแปลง    โดยเฉพาะวัฒนธรรมโดยสายเลือด ที่เคยชอบธรรมะ  ชอบ
ศาสนาเปลี่ยนไป เพราะอารยธรรมทางวัตถุกำลังครอบคลุมอยู่  มันกำลังพุ่งเป็นจังหวะของมันโดยเฉพาะในวัยรุ่น
 ปัจจัยโดยอ้อม
1.  ประชากรเพิ่ม   เพิ่มไม่ได้มีสัดส่วนกับการมีธรรมะของคน  ธรรมะน้อยคนมาก ถ้าเพิ่มคน ธรรมะเพิ่มตามก็ไม่มีปัญหา  แต่คนเพิ่ม ธรรมะกลับลดลงจะมีปัญหา  จึงต้องคุมกำเนิด   เมื่อมีคนมาก   ความเลวร้ายจึงเกิดขึ้น  พระพุทธเจ้ากล่าวว่า    เมื่อคณะสงฆ์เป็นปึกแผ่น  อุปัททวะก็มี
“อุปัททวะ”  คือความไร้ศีลธรรมนั่นเอง  เพราะศีลธรรมไม่พอ คนจึงเห็นแก่ตัวกันมาก
2.  ไม่มีการศึกษาอบรมตามทางธรรม   แต่เป็นไปในทางเนื้อหนังหมด   ให้การศึกษาอย่างเดียวไม่พอ  ต้องอบรมธรรมะด้วย   เดี๋ยวนี้ไม่มีการอบรมในทางธรรมะ  โดยเฉพาะการสอนลูกให้เป็นคนดีนั้นไม่พอ   ต้องฝึกให้เขาประพฤติอย่างนั้นด้วย  ควรให้การศึกษาถึงขั้นฝึก (train) ไม่ใช่แค่สอน (teach)   บอกเด็กให้ช่วยเหลือผู้อื่น บอกแต่ปากไม่พอ ต้องให้เด็กกระทำด้วย  เช่น ให้เงินกินขนมวันละ ๑๐ บาท  ต้องให้เขาแบ่งให้เพื่อนที่ไม่มีจะกิน  ๑  บาท   กินเอง ๙ บาท  เพื่อนที่ไม่มีเลยจะได้มีบ้าง   นี่เป็นตัวอย่างเล็กน้อย ตัวอย่างอื่นยังมีอีกมาก   “ถ้าไม่ฝึกอบรมก็เสื่อมศีลธรรม”
 คนส่วนใหญ่มักอ้างว่าเวลาไม่พอ  สอนแต่ทางโลก ๆ และทางอาชีพก็หมดเวลาพอดี  จึงไม่มีเวลาสำหรับสอนศาสนา แต่เท่าที่สังเกตดู  เมื่อกลับมาบ้านเขามีเวลาว่าง ก็ไม่ให้ศึกษาธรรมะ คงเห็นว่าไม่จำเป็น กลัวจะเสียเปรียบ  ล้าหลังถือกันเช่นนี้  จนยอมตัวเป็นผู้ไม่มีศาสนา ยอมตัวและภูมิใจถือความต้องการเป็นศาสนา   เมื่อไม่ศึกษาธรรมะ คนก็มีจิตใจที่ไม่ประกอบด้วยธรรม
3.  กรรมพันธ์ทางวิญญานเลวลงตามสัดส่วน   คือ การถ่ายทอดจากบิดามารดา  ถ้ารูปร่างหน้าตาเหมือนพ่อแม่ จิตใจเหมือนพ่อแม่  ปัจจุบันการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ดีขึ้น  คือ เด็ก ๆ สวยขึ้น  แต่ถ่ายทอดแต่เนื้อหนัง  เพราะพ่อแม่เห็นแก่ความสวยงาม  ฝันแต่ความสวยความงาม  เด็ก ๆ จึงสวยขึ้น  แต่ทางวิญญาณเลวลง  ถ้าเห็นแก่สวยก็คือ “เห็นแก่ตัว”    คนชอบทำอะไรที่สวย ที่สะดวก ที่รวย ที่ตื้น ๆ  แต่ทำลายคุณธรรมที่ลึกซึ้ง  นี่เป็นเพราะกรรมพันธุ์เลวลง 
4.  โรคประชาธิปไตยกำลังระบาด  เป็นบ้า เฟ้อไม่รู้ว่าแท้จริงคืออะไร หรือควรเป็นอย่างไร ไม่รู้จักคอมมิวนิสต์  แต่จะไปปราบคอมมิวนิสต์   เราขอเรียกว่า “ประชาธิปไตยบ้า”   คือไม่มีสูงไม่มีต่ำ   ถ้าไม่เรียกว่าประชาธิปไตยบ้า แล้วจะเรียกว่าอะไรดี   คือไม่มีใครสูง ไม่มีใครต่ำ  พ่อ  แม่  ลูก  แม้กระทั่งครูบาอาจารย์หรือผู้บังคับบัญชา     บางคนตรงเข้าไปล้วงย่ามพระเอาบุหรี่ไปสูบโดยไม่ขอก็ยังมี   การเรียกชื่อก็เหมือนกัน เรียก “ไอ้” อะไรอย่างหนึ่ง   เขียนการ์ตูนล้อไม่มีที่สูงที่ต่ำ มีแต่ขึ้นบนหัวผู้อื่น   ต้องอิสระนานาแบบ  อิสระด้วยกิเลส  เรียกว่าฮิปปี้นานาแบบ เพราะประชาธิปไตยเฟ้อ
 (พฤติกรรมทั้งหมดนี้คือ   อนาธิปไตย  ANARCHY  นั่นเอง )
 น่าสงสารจนไม่รู้ว่าจะใช้การปกครองกันอย่างไร  ให้การศึกษากันแต่ว่า เราต้องเสมอภาคกันทุกคน   ต้องใช้ระบบที่ทำให้ทุกคนเสมอกัน   จึงต้องพูดอย่างที่เขาพูดกัน  ไม่ใช่พูดคนแรกว่า  ระบบประชาธิปไตยคือระบบการปกครองที่เลวน้อยที่สุดในบรรดาการปกครองทั้งหลายของมนุษย์ ที่มีกิเลส  ระบบที่ดีก็ไม่รู้จะหาที่ไหน  สังคมจะเป็นอย่างไรอยู่ที่คนมีศีลธรรมหรือไร้ศีลธรรม  ปัจจุบันไม่มีเชษฐาปจายิกธรรม    คือ ไม่มีสูงต่ำ ไม่มีการเคารพนับถือ  การเคารพคนที่เจริญกว่าสูงกว่า ดีกว่า สูงกว่าด้วยคุณวุฒิ  วัยวุฒิ  เรียกว่า เชษฐาปจายิกธรรม   แต่ประชาธิปไตยที่พูดกันในเวลานี้กำลังทำลายสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด   เป็นประชาธิปไตยของคนที่ไม่มีธรรม (อนาธิปไตย)  ก็ต้องจำใจจำกลืนไปพลาง ๆ ก่อน จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง  นี่แหละที่ปัจจัยที่ไร้ศีลธรรม
 จะชี้ความแปลกประหลาดอีกแง่หนึ่ง   มันน่าสงสัยที่สุดว่าทำไม  ยิ่งฉลาดในทางที่ไม่ควรฉลาด   ตัวเองและผู้อื่นมันฉลาด  ฉลาดทำตัวเองและสังคมที่สันติสุขกลับไม่ฉลาด    ขอให้สังเกตดู   ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย  น่าสังเวชที่มีทุกอย่างล้วนแต่ทำให้เราเป็นทุกข์    แต่สิ่งที่ป้องกันไม่ให้เราเป็นทุกข์กลับไม่มี      เรามีทุก ๆ อย่างทุกประการเหลือคณานับ  แต่ขาดอยู่อย่างเดียวคือ “ขาดสิ่งที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์  เพราะสิ่งที่เรามี”    อันนี้หมายถึงส่วนรวมไม่ใช่หมายถึงทุกคน   ยิ่งรวยมาก  ทุกข์มาก เพราะขาดเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์    อย่าให้เป็นทุกข์เพราะสิ่งที่เรามี  นี่มันน่าสังเวชดังนี้    น่าจะละอายที่สุด   คือมีสันติภาพน้อยกว่าสัตว์ คน (ไม่ใช่มนุษย์)   มีความสงบสุข  มีความเป็นธรรม มีสันติภาพมากกว่า  “ คนกลางคืนอัดฟัน กลางวันเป็นไฟ”   ของสัตว์เดรัจฉานไม่มี  สัตว์มีสันติภาพมากกว่าคน   มันน่าละอาย
 น่าอัศจรรย์  คือ โลกสมัยปัจจุบันกำลังเปลี่ยนไปตรงกับคำทำนายเมื่อกว่า  2500  ปีมาแล้ว  ดังได้นำมารวบรวมไว้ในหนังสือที่ท่านถืออยู่นี้   
พุทธทำนาย
(ทำนายปัทถเวน)
 เรื่องนี้มีอยู่ ในพระบาลีเอกนิบาตวัณณนา  ภาค ๒ เล่ม ๒๗  หน้า ๒๔  ในคำอธิบาย อรรถกถาของพระบาลีอรรถคาถา  ในเล่มที่ ๒  หน้าที่  ๑๔๖-๑๖๓   ว่า ………
 เรื่องน่าอัศจรรย์   คือโลกในสมัยปัจจุบันไปตรงกับคำทำนาย หรือคำอธิบายของพระพุทธองค์เมื่อกว่า  ๒๕๐๐  ปีมาแล้ว  เรื่องนี้มีตามหัวข้อ ในพระไตรปิฎกความว่า    “อุสภา   รุกฺขา คาวิโย  ควา จ ,  อสฺโส   กํโส   สิคาลี จ , กุมฺโพ โปกฺขรณี จ, อปากํ จนฺทนํ ลาวูนิสีทนฺติ สิลาปลวนฺติ ,   มณฺฑูกิโย  กณฺหสปฺเปติคิลนฺติ,   กากํสุวณฺณา    ปริวารยนฺติ ตสาวกา  เอลกานํ ภายนฺติ , วิปริยาโย วตฺตติ นยิรมตฺถิ …
 มีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่งคือ พระเจ้าปัทเสนธิโกศลทรงสุบินไป ๑๖ เรื่อง ล้วนเป็นฝันร้ายทั้งสิ้น   ตื่นบรรทมขึ้นขึ้นมาทรงตกใจกลัว   ทรงถามพวกพราหมณ์     พราหมณ์ ทูลให้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์  บูชายัญ เพราะเป็นเรื่องร้ายสำหรับราชสมบัติและชีวิตของพระองค์เอง  พระเจ้าปัทเสนธิโกศลทรงเชื่อ  จึงสั่งให้จัดพิธีสะเดาะเคราะห์  บูชายัญ โดยสั่งให้เตรียมคนและสัตว์มาฆ่าบูชายัญ
 พระมเหสีมัลลิกาทูลทัดทานพระเจ้าแผ่นดินว่า  ในฐานะที่เราเป็นพุทธบริษัท   ควรไปทูลถามพระพุทธเจ้าก่อน    พระเจ้าแผ่นดินก็ไปทูลถามพระพุทธเจ้า  และเล่าความฝันนั้นทั้งหมด
 พระพุทธเจ้าตรัสว่า  ฝันนั้นมิได้เป็นเรื่องร้ายเกี่ยวกับพระราชบัลลังก์และชีวิตของพระองค์  แต่เป็นเรื่องที่จะเกิดในอนาคตข้างหน้า  ซึ่งหมายถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง  
 เรามาดูกันว่าความฝันทั้ง ๑๖ เรื่องนั้นว่าอย่างไร  ตรงกับเหตุการณ์ปัจจุบันหรือไม่   ขอสรุปว่า ความฝันทั้งหมดเกิดขึ้นเนื่องจากความเสื่อมของศีลธรรมซึ่งมาตรงกับสมัยนี้พอดี

ความฝันที่ 1
 “อุสภา” บาลีแปลว่า  โคอุสภ  ในฝันเห็นว่า โคอุสภ  คือ  วัวสีดำทมึน ๔ ตัว วิ่งมาจากทิศทั้ง ๔  วิ่งคำรามใส่กันเหมือนฟ้าจะถล่ม   เหมือนกับจะชนกัน   แต่แล้วก็ไม่ชน  คนที่เฝ้าดูก็คอยเก้อ
 พระพุทธเจ้าทรงอธิบายความฝันข้อนี้ว่า  เปรียบเหมือนฝนตั้งเค้ามืดครึ้มมาทั้ง ๔ ทิศ แต่แล้วก็ไม่ตก  อาจหมายถึงการที่คนไปทำลายดุลย์ธรรมชาติต่าง ๆ จนทำให้ฝนไม่ตกก็ได้  แต่สำหรับสมัยนี้แล้ว ความฝันนี้อาจหมายถึง  การที่ไม่อาจใช้อำนาจ คำสั่งกฎเกณฑ์ต่าง ๆ บังคับคนให้เป็นระเบียบได้   กฏเกณฑ์ต่างๆไม่มีใครปฏิบัติตาม  แม้แต่กฎหมายก็เป็นเพียงกระดาษ  ไม่มีความหมายอะไร
 หากจะตีความในแง่การเมือง  โดยดูที่ประเทศอินเดีย  อันเป็นที่เกิดเรื่องนี้เป็นศูนย์กลาง  จะเห็นว่า   ๔  ทิศรอบอินเดีย ได้แก่
 จีนแดง      ทางทิศตะวันออก
 รัสเซีย       ทางทิศเหนือ
 อเมริกา    ทางทิศตะวันตก
 กลุ่มประเทศในโลกที่  ๓  ซึ่งเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา  ทางทิศใต้
 ๔ ทิศเปรียบได้กับวัว ๔ ตัว ในความฝันนั้น เราจะเห็นว่าประเทศทั้ง ๔ ทิศรอบอินเดีย  กำลังจ้องจะประกาศสงครามกัน  แต่ก็ยังไม่กล้า  เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีอาวุธร้ายแรง   เช่น ปรมาณู หรือนิวเคลียร์ด้วยกันทั้งนั้น
 สำหรับในประเทศไทย  การกล่าวคำปฏิญาณตนต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเด็กนักเรียนข้าราชการ  ทหาร ตำรวจ  ลูกเสือ  ล้วนแต่ใช้คำว่า “ข้าพเจ้าจะ…..”  คือยังไม่ลงมือทำสักทีไม่ทราบว่าลังเลใจอะไรอยู่
 จึงเหมือนกับวัว ๔  ตัวได้แต่ขู่ ๆ  กัน ยังไม่ชนกันสักที
ความฝันที่ 2
 “รุกขา” แปลว่าต้นไม้  ในความฝันเห็นต้นไม้มีดอกมีผลเต็มไปหมด  พองอกได้คืบก็ออกดอก ได้ศอกก็ออกผลทั่วทั้งแผ่นดิน
 พระพุทธเจ้าทรงอธิบายความฝันนี้ว่า  ในอนาคต  ศีลธรรมของคนเสื่อมลง  จนแม้เด็กหญิงก็มีลูกตั้งแต่เริ่มแรกรุ่นทุกหนทุกแห่งในโลก  เป็นนางก่อนนางสาว
 ในปัจจุบัน  การให้การศึกษาผิด ๆ ในเรื่องเพศศึกษา   ทำให้เด็ก ๆ ชิงสุกก่อนห่าม หมดความละอายในเรื่องเพศ  การศึกษาในเรื่องเพศศึกษากลายเป็นส่วนสนับสนุนให้เด็กประพฤติผิดทางเพศมากขึ้น  นี่คือความหมายของความฝันนี้
ความฝันที่ ๓
 “คาวิโย”   พระเจ้าปัทเสนธิโกศล  ทรงฝันเห็นว่าแม่วัวต้องกินนมของลูกตัวเอง  แม้เกิดมาวันเดียวเท่านั้น
 พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า  ในอนาคตนี้  เมื่อมนุษย์ไร้ศีลธรรม  ไม่มีความเคารพผู้สูงกว่า  ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก, เด็กกับคนแก่, ครูกับลูกศิษย์เปลี่ยนแปลงไป   คนแก่ไม่สามารถประกอบกิจการงานเลี้ยงชีวิตด้วยตนเอง  ต้องพึ่งลูกหลานเพื่อการยังชีพ  นั่นคือ “แม่วัวต้องกินนมลูกวัว” เพราะว่ามาถึงสมัยนี้ไม่มีความกตัญญูรู้คุณอีกต่อไป   มันตรงข้ามกับสมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง
ความฝันที่ ๔
 “ควา จ”  แปลว่าลูกวัวที่เขายังไม่งอก  อายุยังน้อย ยังไม่ถึงวัยทำงาน พระเจ้าปัทเสนธิโกศลทรงฝันเห็นมนุษย์จับลูกวัวอายุน้อย ๆ หรือ  “ลูกแหง่” นี้  เข้าเทียมแอก เทียมไถ   ใช้ทำงานมันก็ทำบ้าง  ไม่ทำบ้าง  ทำดีบ้างเสียบ้าง
 พระพุทธเจ้าทรงอธิบายว่า  ในอนาคต เมื่อมนุษย์ไร้ศีลธรรม  ไม่มีความเป็นธรรมระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง     เอาเด็กมาเป็นผู้ปกครอง  ทำให้การบ้านการเมืองเสียหาย  มีแต่รู้เฟ้อ ขาดความรู้ความชำนาญ
 การเอาคนขาดความรู้  ความชำนาญ ยังเด็กเกินไปในชีวิตมาบริหารงาน  แม้จะเรียนมามาก  แต่ขาดความชำนาญ    ขาดประสบการณ์  การบริหารงานก็ไม่ได้ผล
ความฝันที่ ๕ 
 “อสฺโส”  แปลว่า ม้าตัวหนึ่ง  มีปากทั้งสองข้างคนเลี้ยงต่างเอากล้าข้าวเหนียว  ป้อนทั้งสองปากพร้อม ๆ กันคนเลี้ยงจึงเหนื่อยมากที่เดียว
 พระพุทธองค์อธิบายว่า   ในอนาคต เมื่อคนไร้ศีลธรรม   เขาจะเอาคนที่ไม่เชื่อในบุญและบาป  มาทำหน้าที่สำคัญในโรงในศาล  เป็นผู้พิพากษา  ตุลาการ  อัยการ ทนายว่าความวินิจฉัยคดี  คนพวกนี้จะกินสินบนจากคู่ความทั้งสองฝ่าย  คือทั้งสองฝ่าย  คือทั้งฝ่ายโจทก์  และฝ่ายจำเลย  แล้วจึงตัดสินความตามแต่ตนจะพอใจ
 ถ้าทั้งโลกเป็นอย่างนี้  ก็น่าจะเชื่อได้ว่า  ฉากสุดท้ายของโลกมาถึงแล้ว  ม้าตัวหนึ่งมีสองปาก   กินหญ้าสองปากพร้อมกัน   ปัจจุบันจะเห็นม้าที่น่าดูยิ่งกว่านั้น  คือ ประเทศเล็ก ๆ รับความช่วยเหลือจากมหาประเทศสองฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกัน   ม้าสองปากมีมากมาย    แม้แต่คนเราก็เป็นม้าสองปาก  ปากหนึ่งไม่ทำบุญ  แต่อีกปากหนึ่งจะเอาสวรรค์มันค้านกันอยู่  เขารักกิเลสมากกว่ารักธรรมะ
ความฝันที่  ๖
 “กํโส”    แปลว่าถาดทองสัมฤทธิ์ พระเจ้าปัทเสนธิโกศลทรงพระสุบินว่า   มนุษย์ต่างขัดถาดทองสัมฤทธิ์  ราคาเป็นแสน  ให้เป็นเงางาม สะอาด แล้วนำไปให้สุนัขเยี่ยวรด
 พระพุทธเจ้าทรงอธิบายความฝันนี้ว่า  สมัยเมื่อมนุษย์ไร้ศีลธรรมอย่างรุนแรงจนเกิดความจำเป็นที่ทำให้คนในตระกูลสูงต้องยกกุลสตรีในตระกูลของตนให้แก่คนในตระกูลถ่อย  นี่คือความหมายตามภาษาบาลี  คนตระกูลสูงต้องง้อคนตระกูลถ่อย  เพราะเป็นสมัยที่คนถ่อยมีอำนาจ  คนในตระกูลสูงอยู่ในความประมาท  ในขณะที่พวกตระกูลต่ำ ๆ ต่างยกตัวเองขึ้นด้วยการศึกษา จนได้รับการแต่งตั้งให้เข้ารับราชการแทนพวกตระกูลสูง  พวกตระกูลสูงจึงต้อวยอมให้บุตรธิดาของตนสมรสกับคนต่ำ ๆ
 ปัจจุบันความบีบคั้นทางเศรษฐกิจทำให้คนในตระกูลสูงรักษาศักดิ์ศรีของตนไว้ไม้ได้  ต้องยอมให้คนพาลคครองเมือง  เท่ากับการเอาถาดทองสัมฤทธิ์ราคาเป็นแสนรองให้สุนัขเยี่ยวใส่
ความฝันที่ ๗
 พระเจ้าปัทเสนธิโกศลทรงพระสุบินว่า  “สิคาลี”  หมายความถึง ผู้ชายนั่งควั่นเชือกด้วยหนังสัตว์แล้วหย่อนเชือกที่ควั่นได้ลงใต้ตั่ง  ควั่นไป หย่อนไป หารู้ไม่ว่า  ภายใต้ตั่งมีนางสุนัขตัวหนึ่งเคี้ยวหนังที่ควั่นเป็นเชือกกินจนไม่มีเหลือ    จนชายที่ควั่นเชือกเหนื่อยเจียนตาย  
 พระพุทธเจ้าทรงอธิบายว่า  ในอนาคต เมื่อมนุษย์ไร้ศีลธรรม   หญิงรักชายชู้มาเล่นชู้กันถึงในบ้าน   ถ้าดูให้ดีเราจะเห็นว่าในสมัยนี้  ความหมายก็คือ  ผู้หญิงผลาญหยาดเหงื่อแรงงานสามีมาใช้อย่างฟุ่มเฟื้อ ต้องการความสุขส่วนตัวมากกว่าที่มีความสุขจากการทำหน้าที่ภรรยา และความภาคภูมิใจในการเลี้ยงดูลูก
 ปัจจุบันผู้หญิงต้องการความเสมอภาคมากขึ้น    พระพุทธองค์ตรัสว่า “ทุกฺโข สมาน ส วาโส”   ความว่า “การอยู่เสมอกันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง”   ผู้ชายทำอะไร  ผู้หญิงก็จะทำอย่างนั้นบ้าง จะเกิดความยุ่งยากมาจากความต้องการเสมอภาคกัน  ทำให้ “ผู้หญิงจะกินผู้ชายมากขึ้น”  เหมือนนางสุนัขที่อยู่ใต้ตั่งกินเชื่อกหนังที่ชายควั่นหย่อนลงไป จะมีในอนาคต    เมื่อไร้ศีลธรรม
ความฝันที่ ๘
 “กุมโพ”    หมายถึงตุ่มน้ำ  ความฝันนี้มีว่า  มีโอ่งน้ำใบใหญ่ใบหนึ่ง  มีโอ่งใบเล็ก ๆ ล้อมอยู่เป็นอันมาก   มนุษย์ต่างก็ตักน้ำใส่แต่โอ่งใบใหญ่ใบเดียวเท่านั้น  จนล้นแล้วล้นอีกก็ยังใส่  ไม่มีใครตักใส่ในโอ่งใบเล็ก ๆ ที่อยู่รอบตุ่มใบใหญ่ใบนั้นบ้างเลย
 พระพุทธเจ้าทรงอธิบายความฝันนี้ว่า  ในอนาคตเมื่อโลกนี้ไม่ประกอบด้วยศีลธรรมเลย  จะเกิดจอมเผด็จการตั้งตัวเป็นใหญ่  ใช้อำนาจบีบบังคับประชาชน    เอาพืชผลที่ได้ทั้งหมดทั่วประเทศ   มาใส่ยุ้งฉางของคนนั้นคนเดียว   เพราะเขามีอำนาจ  มีเงิน  มีพรรคพวก
 เมื่อคนไม่ประกอบด้วยธรรมแล้วจะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น  แต่เราอาจจะมองได้อีกอย่างหนึ่งคือ ในปัจจุบันนี้มีระบบสูบเลือด  ขูดรีดของนายทุน ผูกขาดโดยระบบกิเลส จึงไปรวยมากที่จุด ๆ หนึ่งเพียงจุดเดียวนอกจากนั้นก็ขาดแคลน
 ปัจจุบันเราจะเห็นว่า  ความเจริญมีแต่ในเมืองหลวง  บ้านนอกไม่มีใครสนใจคล้าย ๆ กับว่าความเจริญในประเทศไทยมีแต่ในกรุงเทพ  ทำกรุงเทพฯ ให้ใหญ่จนมีปัญหาเหลื่อประมาณ   เช่น ปัญหาน้ำท่วม  ปัญหาจราจร  ส่วนบ้านนอกคอกนาก็ยังร้างอยู่  เช่น เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ทำให้คนมั่งมีได้มั่งมียิ่งขึ้น  เครื่องจักรทำงานแทนแรงคนจนเสียหมด  ทำให้คนไม่มีงานทำ  นี่คือโอ่งน้อย ๆ ที่ว่างพร่อง  และโอ่งใหญ่ที่เต้มล้น  ทำคล้าย ๆ กับว่าที่กรุงเทพ ฯ เท่านั้นที่เป็นประเทศไทย  บ้านนอกคอกนาไม่มีครสนใจ  ก็มีความหมายอย่างเดียวกัน
ความฝันที่  ๙
 “โปกฺขรณี”  แปลว่า สระน้ำ กว้าง ใหญ่ ลึก  พระเจ้าแผ่นดินปัทเสนธิดกศลทรงพระสุบินว่า   พบสระโปกขรณีทั้งกว้าง ทั้งใหญ่ ทั้งลึก แต่ตรงกลางสระขุ่น เป็นปลักเป็นโคลนตม  ส่วนริมสระนั้นทั้ง  ๆ ทีมีฝูงสัตว์ทุกชนิดลงอาบกิน ย่ำ อยู่เสมอแต่ริมสระนั้นกลับใสแจ๋วเย็นสะอาด
 พระพุทะองค์ทรงอธิบายว่า  ในอนาคตในสมัยที่มนุษย์ไร้ศีลธรรม   ชนผู้เป็นชนชั้นปกครองทารุณ  บีบคั้นคนสุจริต   คนสุจริตต้องหนีออกจากเมืองเข้าป่า  ซึ่งเรื่องนี้เข้ากับเรื่องเล่า “ขงจื้อ”
 “ขงจือ”  เป็นนักศึกษา  เขาอยากดูความเป็นไปที่แท้จริงจึงเข้าไปในป่า  พบคนจำนวนมากที่นอนให้เสือกิน คืนละคนสองคนเสมอ  ขงจื้อถามว่าเหตุใดจึงยอมมานอนให้เสือกิน ชาวบ้านตอบว่า “เสือกินที่นี้ดีกว่าในเมืองอยุติธรรมมันกิน”  หมายความว่า ความไม่เป็นธรรมบีบคั้น มาให้เสื่อกินดีกว่า  แสดงว่าคนเราชอบความจริงความยุติธรรม   เมื่อชนชั้นปกครองโหดร้าย  ทารุณ จนคนในเมืองหนีเข้าป่า  ในเมืองไร้ศีลธรรม แต่บ้านนอกในป่าไกลออกไปที่ความเจริญยังเข้าไปไม่ถึงนั้นยังมีศีลธรรม  นี่คือริมสระน้ำใสแจ๋วทั้งที่มีสัตว์เหยียบย่ำอยู่  แต่ตรงกลางสระน้ำกลับขุ่นมัวเป็นโคลนตม ทั้ง ๆ ที่มันลึกและกว้างใหญ่
 ในเมืองสกปรกในป่าสะอาด   ในเมืองร้อนในป่าเย็น  ในเมืองเหม็นในป่าหอม  แต่ก่อนขโมย
โจรอัธพาล  คนชั่วต้องหลบซ่อนตัวอยู่ตามถ้ำ ตามป่า ตามเขา เดี๋ยวนี้คนชั่วเหล่านี้อยู่ในเมือง   ยิ่งเป็นคนมีความรู้มีการศึกษามาก ยิ่งปราบยากขึ้นทุกที   มีแต่วิกฤตการณ์ที่เลวร้าย  แต่บ้านนอกเต็มไปด้วยความอบอุ่น     ความรักความเมตตา  โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจอาชญา   รัฐบาลคิดแต่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ,การเมืองกฎหมาย  ลืมนึกไปว่าที่สำคัญกว่านั้นคือ ศีลธรรม
ความฝันที่  ๑๐
 “อปากํ”  แปลว่า  เหมือนกับไม่ได้หุง      พระเจ้าปัทเสนธิโกศลทรงพระสุบินเห็นข้าวหม้อหนึ่งที่คนหุงไว้ ในหม้อเดียวกัน  ข้างในแบ่งเป็น 3 ส่วน  ส่วนหนึ่งยังดิบเป็นเมล็ดข้าวสารอยู่  ส่วนหนึ่งยังสุก ๆ ดิบ ๆ ส่วนหนึ่งก็แหลกเหลวไปเลยในหม้อเดียวกัน
 พระพุทะองค์ทรงอธิบายว่า   สมัยหนึ่งคนประพฤติธรรมโดยสิ้นเชิง ชนชั้นปกครอง รัฐบาล ราชตระกูล  อำมาตย์  ราษฎรทุกคนพากันถือ “อำนาจเป็นธรรม”    ไม่เคารพหลักธรรม จนกระทั่งเทวดาที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์พลอยเดือดร้อนไปด้วย   จึงบรรดาลให้ฝนตกไม่เท่ากัน   บางแห่งให้ฝนตกมากเกินไปจนพืชพันธ์ธัญญาหารเสียหาย   อีกแห่งหนึ่งไม่ตกเลย  แล้งจนไม่มีน้ำกิน พืชพันธ์แห้งตายกันหมด   อีกแห่งก็ตกบ้างไม่ตกบ้าง
 ในสมัยเมื่อมนุษย์ไร้ศีลธรรม    จะมีแต่คนสุก ๆ ดิบ ๆ  หาคนสุกยาก  โลกปัจจุบันนี้พิจารณาดูจะเห็นว่า จะมีคนรวย เกินไปอยู่พวกหนึ่ง  พวกคนจน ๆ ไม่มีจะกิน   ตายคราวละมาก ๆ อีกพวกหนึ่ง   ส่วนอีกพวกหนึ่งก็มีกินพอประทังชีวิตไปวัน ๆ  หนึ่ง     โลกเดียวกันแบ่งเป็น 3 ส่วนอย่างนี้   แม้แต่รัฐสภายังประกอบไปด้วยสมาชิก 3 ชนิด     คือ ดิบเป็นเมล็ดข้าวสาร   เลวมาก หรือโง่อย่างนี้ก็มี  สุก ๆ ดิบ ๆ ก็มี   ที่สุกจริง ๆ มีไม่กี่เมล็ด เพราะเพ้ออยู่ด้วยประชาธิปไตยบ้าง   หลงใหลในอุดมคติบ้าง ไม่พอดีไม่ถูกต้อง ที่ดี ๆ มีอยู่น้อย   ไปดูในรัฐสภาก็จะเห็นหม้อข้าวชนิดนี้   แม้ในบ้าน ตลาด อำเภอ จังหวัดก็เป็นอย่างนี้  คือไม่มีความพอดี
  แม้แต่ในบ้านก็ยังหาความพอดีไม่ได้   ไม่ยอมลงกัน เพราะไม่มีศีลธรรมนั่นเอง  พ่อกินเหล้า  แม่เล่นการพนัน  ลูกสาวบ้าแต่งตัว  ลูกชายบ้าเจ้าชู้ใช้เงินเปลือง  แต่ละคนก็ไปกันคนละทาง นี่คือข้าวหม้อเดียวกันในบ้านหลังหนึ่ง แต่แยกกันเป็นส่วน ๆ อย่างนี้ 
ความฝันที่  ๑๑
  “จนฺทนํ”   แปลว่า  แก่นจันทร์แดง ราคาเป็นแสน พระเจ้าแผ่นดินปัทเสนธิโกศลทรงพระสุบินว่า   เห็นคนพวกหนึ่งเอาแก่นจันทร์แดงอย่างดี ราคาแพงไปแลกกับนมเปรี้ยวกระปุกเดียว นมเปรี้ยว (ในประเทศอินเดีย)  คือนมอย่างเลวที่สุดในบรรดานมทั้งหลาย ดังมีปรากกในอรรถกถา แห่ง  มหาสุบินชาดก   วรรคที่ 8 เอกนิบาต  หน้า 156  เล่ม 2   ความว่า
 - สตสหสฺส  สคฺคนกํ  จนฺทนสารํ ปูติตกฺเกน วิกฺกินนฺเต  อทฺทสํ
 ฝันเห็นชนพวกหนึ่ง เอาแก่นจันทร์แดงอย่างดี  ราคาเป็นแสน ไปแลกกับนมเปรี้ยวกระปุกเดียว
 พระผู้มีพระภาคทรงตรัสตอบว่า
 -  อนาคตสฺมึ  หิ ปจฺจยดลลา อลชฺชี ภิกฺขู พหู  พวิสฺสนฺติ
 ในกาลฝ่ายอนาคต จะมีภิกษุอลัชชีที่โลเลด้วยปัจจัยที่เกิดขึ้น  เป็นอันมาก
 -  เตมยา  ปจฺจย โลลุปฺปํ นิมฺมเภตฺตวา กตฺถิต ธมฺมเทสนํ  จีวรานิ ปจฺจยเหตุ เทเสถ สนฺติ
 อลัชชีเหล่านั้นจะแสดงธรรมที่เราได้กล่าวไว้เพื่อเสียสละปัจจัยนั้นเสีย  เพื่อให้มุ่งต่อหน้าพระนิพพาน แต่ก็เอามาแสดงเพื่อปัจจัย มีจีวรเป็นต้นเหล่านี้
 - ปจฺจเยหิ  มุจจิตฺตวา  นิสฺสนร ปกฺเข ฐิตา  นิพฺพานา ภิมุกฺขํ กตฺตวา เทเสตํ นสิกฺขต สนฺติ
 เขาไม่อาจแสดงธรรมที่ลสะปัจจัย  ตั้งอยู่ในสรณะ มีนิพานเป็นเบื้องหน้า เขาแสดงไม่เป็น
 - เกวลํ ปท พยญฺชนํ สมฺปฏิจฺเจว  มธุรสทํ จ สุตฺตวา มหสฺทานิ จีวราทีนิ  สนฺติเจว ทาเปตุ สนฺติ จ
 มหาชนทั้งหลาย  (ต้องเป็นคนโง่แน่นอน)  ได้ฟังเสียงที่แสดงถึงพร้อมด้วยพยัญชนะ  เช่น
กาพย์  บทกลอนอันไพเราะ แล้วก็ถวายจีวรแพง ๆ  เป็นปัจจัย และให้คนอื่นถวายบ้าง
 - อปเร  อนฺตราวีถิ จตุกราชทวาราสุ นิสีทิตฺตวา กหาปนตฺถ  กหาปทมาสก ณุปาที นิสฺสาย  ธมฺมเทสนฺติ
 อลัชชีพวกอื่น ๆ บางพวก  ก็นั่งตามถนน ตามประตูเมืองแล้วแสดงธรรม เพื่อเห็นแก่เงิน แก่กหาปนะบ้าง  ครั้งละ 1 กหาปนะบ้าง  1 บาทบ้าง 1 มาสกบ้าง
 -  อติมยา  นิพฺพานกฺข  นกํ  กตฺตวา  เทสิตธมฺมํ จตุปฺปจจยตฺถาย เจว กหาปนตฺถ กหาปนาทีนํ อตฺถาย จ วิกฺกินิตฺตวา เทเสนฺตา สตสหสฺสคฺคนิก  จนฺทนสารํ ปูติตกฺเกน  วิกกินนฺตา วิย ภวิสฺสนฺติ
 ด้วยการเหล่านี้  ภิกษุอลัชชีเหล่านั้น แสดงธรรมที่เราแสดงไว้ เพื่อพระนิพพาน  นำมาเสองเพื่อเงินบ้าง   1 กหาปนะบ้าง ครึ่งกหาปนะบ้าง  1 บาทบ้าง 1 มาสกบ้าง ก็เท่ากับเอาแก่นจันทร์แดงราคาเป็นแสนมาแลกกับนมเปรี้ยวเพียงกระปุกเดียวเท่านั้น
  พระพุทธองค์ทรงอธิบายความข้อนี้ว่า   ในอนาคตเมื่อมนุษย์ทิ้งศีลธรรม   นักบวชทั้งหลายได้ศึกษาเล่าเรียน พระธรรมวินัยของพระตถาคตซึ่งมีวิมุตติเป็นแก่นสาร แต่นำธรรมเหล่านี้ไปแลกลาภผล เพราะเห็นแก่ปากแก่ท้อง  นำคำติเตียนความโลภของตถาคตแสดงให้แก่มหาชนทั้งหลายให้ละความโลภ  โดยสละปัจจัยถวายตน  แต่พระที่แท้แสดงธรรมโดยไม่รับเครื่องกัณฑ์ เขาหาว่าเบ่ง ว่าแกล้งทับผู้อื่น อวดดี  พอแสดงเรื่องพระนิพพานเขาหาว่าคร่ำครึ บ้าล้าสมัย อวดความรู้เป็น “ข้าศึกต่อการพัฒนา”  ก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ตรงกับพุทะประสงค์  แต่ก็ต้องไม่ทำชนิดที่ว่า  “เอาแก่นจันทร์แดงไปแลกกับนมเปรี้ยว 1 กระปุก”  จึงได้แต่สงสารพระดี ๆ อย่างนี้ เพราะอลัชชีเหล่านี้ไม่อาจถอนตนออกจากความเป็นทาส บวชคอยจังหวะที่จะออกไปเท่านั้น
ความฝันที่ ๑๒
 “ลาวูนิ สีทนฺติ”  แปลว่า น้ำเต้าแห้ง กลมกลวงเกลี้ยงลื่น  พระเจ้าปัทเสนธิโกศลทรงพระสุบินว่า เห็นน้ำเต้าแห้ง ซึ่งปกติลอยน้ำได้  กลับจมดิ่งลง   พระพุทธองค์ทรงอธิบายตามฝันนี้ว่า  โลกแปรปรวนจนถึงนิยมนับถือถ้อยคำของคนโกง    ในราชสำนัก ในที่ประชุม ที่วินิจฉัย กลุ่มต่าง ๆ ถ้อยคำของคนเท็จ  คนหัวประจบ  กลับได้รับความเชื่อถือยกย่อง  ส่วนคำของสัตบุรุษจะถูกเยาะเย้ย  ถากถาง แต่คำของอลัชชีจะถูกยกย่องราวกับว่าเป็น “นัยยานิกกรรม” (ธรรมที่นำสัตว์ออกจากทุกข์ไปสู่พระนิพพาน)  สัตตบุรุษ  คือ คนดี คนมีศีลธรรม ประพฤติตรง ปฏิบัติชอบ จะถูกดูถูก เยาะเย้ย ถากถาง
 ปัจจุบันนี้  คนดูหมิ่นพ่อ-แม่ ครู พระ ศาสนา ว่าศาสนาไม่จำเป็น น้ำเต้าแห้งกลวงกลมเปล่าจมน้ำอย่างนี้ ส่วนเรื่องวัตถุ เรื่องกามารมณ์ กลับถูกยกย่อง   ถ้าประเทศใด  บ้านเมืองใด หมู่บ้านใด ครอบครัวใดถือธรรมะอยู่จะอับเฉา  แห้งแล้ง  เงียบเชียบ ไม่เด่น ไม่มีใครคบหาสมาคม  โลกปัจจุบันถือว่าร่ำรวย  สวยงาม หรูหราคือสิ่งดี
ความฝันที่ ๑๓
 ข้อที่สิบสามเนื่องกับข้อที่สิบสอง “สิลา” แปลว่าก้อนหินแน่นทึบ ใหญ่โตเท่าบ้านเท่าเรือน พากันลอยน้ำฟ่อง อยู่เหนือน้ำ เหมือนกลีบบัว หรือเหมือนเรือสำเภา บรรทุกสินค้าลอยเต็มไปหมดทั่วบ้านทั่วเมือง  นี่เป็นความฝันอีกข้อหนึ่ง
 พระพุทธองค์ทรงอธิบายยความฝันนี้ว่า    ในอนาคตเมื่อมนุษย์ไร้ศีลธรรม  โลกจะแปรปรวนทั้งโลก   แผ่นดินและโลกมนุษย์ทำคนตระกูลสูงให้ตกยากลงมากมาย  คนในตระกูลต่ำกลับมั่งคั่ง และไม่เคารพคนในตระกูลสูง   คนไพร่ตะกูลต่ำเยาะเย้ย  ถากถางผู้ดีตระกูลสูง  พวกอลัชชีกดขี่ ข่มเหง ภิกษุผู้เป็นลัชชี ด่าทอนักปราชญ์  สัตบุรุษ
 ปัจจุบันยกย่องวัตถุ  กามอารมณ์  เห็นเงินดีกว่า “อุดมคติ”  เงินถูกย่อย่องเป็นศาสนา  อำนาจถูกยกย่องเป็นธรรม
 ด้านการศึกษา เห็นกงจักรนั้นเป็นดอกบัว  สอนให้รู้อ่าน-เขียนรู้ประกอบอาชีพ  แต่ไม่รู้จักแก้ปัญหา   เวลาที่มีความทุกข์เพราะขาดความรู้ที่เป็นคุณธรรม  คือ ก้อนหินลอยน้ำได้ 
ความฝันที่  ๑๔
 “ มณฑูกิโย  กณฺหสปฺเป คิลนฺติ”   หมายความว่า  กบเขียดตัวเล็ก ๆ ไล่ตามงูเห่าดำตัวมหึมาทันแล้วกลืนกินเหมือนไล่จับแมลงเล็ก ๆ กินฉะนั้น
 พระพุทะองค์ทรงอธิบายความฝันนี้ว่า  ต่อไปในอนาคตมนุษย์ไร้ศีลธรรม  เพศชายตกอยู่ใต้อำนาจเพศหญิงเพราะหลงไหลในกามในราคะ  ทรัพย์สมบัติ จะเห็นได้ทุกหนทุกแห่ง ในที่ทำงาน  สถานที่ราชการ  ตามบ้านเรือน  ตามสถานตากอากาศ  เพศชายหลงไหลในกามราคะมากมาย   จนบางที่ถึงกับติดคุกติดตารางเป็นหนี้เป็นสิน  เมื่อเป็นเช่นนี้อำนาจอยู่ในมือผู้หญิงทั้งหมด  ทำให้ถือว่าอยู่เหนือผู้ชาย  โดยเฉพาะในเมื่อ  ผู้หญิงเต็มไปด้วยศิลปะแห่งการยั่วยวน  สามารถมัดผู้ชายให้อยู่ในมือได้  จะมีผลดีก็เพราะเชื่อว่าจะสามารถห้ามผู้ชายไม่ให้รบกันเท่านั้น    ข้อนี้อาจเปรียบไปได้ว่า  หมายถึงผู้ที่ไม่มีอำนาจอะไร จะสามรถบงการผู้มีอำนาจได้ด้วยเล่ห์เหลี่ยมบางอย่าง   สามารถทำให้ผู้มีอำนาจกลัวได้  เมื่อมนุษย์ไร้ศีลธรรมถึงที่สุดความฝันนี้จะเป็นจริงขึ้นได้   
ความฝันที่  ๑๕
 “กากํ  สุวณฺณา ปริวารยนฺติ”  ความว่า   ชาติราชสุวรรณหงส์  สีทองต้องมารับใช้กา   นี่คือความฝันของพระเจ้าปัทเสนธิโกศล
 พระพุทธองค์ทรงอธิบายความฝันว่า   สมัยที่ไร้ศีลธรรมไร้ธรรมะ  คนที่มียศฐาบรรดาศักดิ์   กลายเป็นคนขี้ขลาดหวาดระแวง  ยกคนเลวคนพาลขึ้นเป็นหัวหน้า    คนพาลนี้เลยทำให้คนดีเดือดร้อน  กดขี่  ข่มเหง  ใครทนไม่ได้ก็ต้องหนีไป   หนีไม่ได้ก็ต้องทนให้คนพาลใช้สอยตามต้องการ  ถ้าจะดูให้จริงกว่านี้  คนไร้ศีลธรรมยังขูดรีดบีบบังคับคนดีมากขึ้นในอีกหลายแง่หลายมุม
ความฝันที่  ๑๖
 “ตสาวกา  เอฬกานํ  ภายนฺติ”   คือ แกะทั้งหลายต่างไล่จับเสือเหลืองมากินจนเสือทั้งหลายหนีหายไปหมด   พระเจ้าปัทเสนธิโกศลทรงพระสุบินเห็นดังนี้
 พระพุทธเจ้าทรงอธิบายว่า    ในสมัยหนึ่งเกิดอธรรมขึ้นมา  แม้ในชนชั้นปกครอง ก็ไม่ประกอบด้วยธรรมมีราชวัลลภเลว ๆ หรือเป็นพาลเป็นบริวารให้อำนาจแก่ราชวัลลภกดขี่อำมาตย์  เสนาบดีที่ซื่อตรงจนพวกนี้ต้องหนีไป 
 เรื่องทั้งหมดล้วนแต่น่ากลัว   พ่อแม่กลัวลูก  ครูกลัวลูกศิษย์ นายจ้างกลัวลูกจ้าง  ผู้ใหญ่กลัวผู้น้อย  คนที่ทำความผิดกลัวลูกน้องเปิดโปง  มหาประเทศใหญ่ ๆ ในโลกเวลานี้ กลัวประเทศเล็ก ๆ ด้วยเหตุผลบางประการก็มี  มีค่าเท่ากับลูกแกะทำให้เสือกลัวได้เหมือนกัน
  ความฝันทุกเรื่องจากพุทธทำนายนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อศีล “เสื่อม”  หรือ “ไม่มีศีลธรรม” ขณะนี้โลกกำลังสู่ภาวะไร้ศีลธรรม  เพราะฉะนั้นละครเหล่านี้ก็หาดูได้ง่ายในปัจจุบันนี้  เป็นละครที่น่าเศร้าสักหน่อย
 สรุปความว่า   เพราะโลกเสื่อมศีลธรรมจนถึงที่สุด  ก็จะถึงคราววินาศ  ถ้าเผอิญโชคดีมีคนมาช่วยไว้มันก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีได้  ไม่ควรท้อแท้ว่าจะเป็นเช่นนี้เสมอไป   เพราะฉะนั้นจงทำแต่ในทางที่ถูกที่ควร 
 โลก -แผ่นดิน ไร้ศีลธรรมผิดปกติ
 โลก - ร่างกาย คนก็ไร้ภาวะปกติ 
 โลก- วิญญาณ ก็ไร้ภาวะปกติ
 ทุกโลกเสื่อมสู่ภาวะไร้ศีลธรรม   แม้ตัวสวยแต่จิตทรามไร้มนุษยธรรม  ไร้ศาสนา  ไร้เหตุแห่งศีลธรรม มีแต่อาชญากรรม  อาชญากร  ธรรมชาติถูกทำลายมาบำเรอความสุข  บำเรอกามารมณ์ บำรุง  “อวิชชา”  คนในโลกส่วนใหญ่ไม่ใช่ทุกคนแต่หากปล่อยไว้อย่างนี้ต่อไปจะไม่มีอะไรเหลือ  ดังนั้นจะต้องช่วยกันรักษาบ้านเกิดเมืองนอน   นำศีลธรรมกลับมา